ขั้นตอนการทำงานของเครือข่ายเป็นดังนี้:
- ธุรกรรมใหม่จะถูกกระจาย (broadcast) ไปยังทุกโหนด
- แต่ละโหนดจะรวบรวมธุรกรรมใหม่ ๆ มาสร้างเป็นบล็อก
- แต่ละโหนดพยายามหาค่า Proof-of-Work ที่ยากสำหรับบล็อกนั้น
- เมื่อมีโหนดเจอ Proof-of-Work ที่ถูกต้อง จะกระจายบล็อกออกไปยังเครือข่าย
- โหนดยอมรับบล็อกนั้นก็ต่อเมื่อทุกธุรกรรมในบล็อกถูกต้องและไม่มีการใช้จ่ายซ้ำ
- โหนดที่ยอมรับบล็อกจะเริ่มทำงานสร้างบล็อกถัดไป โดยใช้ hash ของบล็อกก่อนหน้าเป็นตัวเชื่อมต่อ
โหนดจะยึดถือ “สายโซ่ที่ยาวที่สุด” เป็นของจริงเสมอ และทำงานต่อเพื่อขยายมัน หากมีโหนดสองตัวสร้างบล็อกพร้อมกัน บางโหนดอาจได้รับหนึ่งบล็อกก่อน อีกบางโหนดอาจได้รับอีกบล็อกก่อน แต่ละโหนดจะทำงานต่อกับบล็อกที่ตนได้รับก่อน และเก็บอีกสาขาไว้ เมื่อสาขาหนึ่งมีความยาวมากกว่า ระบบจะตัดสินว่า chain นั้นถูกต้อง โหนดที่อยู่บนสาขาสั้นกว่าจะเปลี่ยนไปตามสาขายาว
การกระจายธุรกรรมใหม่ไม่จำเป็นต้องถึงทุกโหนด ขอเพียงกระจายไปยัง “หลาย ๆ โหนด” เพื่อให้ธุรกรรมนั้นถูกบรรจุลงบล็อกในที่สุด เช่นเดียวกันกับบล็อก หากมีโหนดตกหล่นบล็อกใด ก็จะร้องขอข้อมูลเมื่อพบว่าตนเองพลาด
สรุป
- เครือข่าย Bitcoin ใช้หลักการ broadcast แบบ best effort → ไม่ต้องครบทุกโหนด
- Consensus = Longest Chain Wins → ความถูกต้องมาจาก “งานรวม” ไม่ใช่การโหวตโดยตรง
- ระบบมี ความทนทาน (resilience) ต่อการแตก branch และ latency ของเครือข่าย
- ทุกโหนดทำงานอิสระ แต่สอดคล้องกันโดยกลไก Proof-of-Work
วิเคราะห์เชิงธุรกิจ/กลยุทธ์
- โมเดลเครือข่ายไร้ศูนย์กลาง
- แต่ละโหนดทำงานอิสระ ไม่ต้องประสานงานกันโดยตรง → ลด bottleneck
- Consensus เกิดขึ้น “โดยธรรมชาติ” → คล้ายตลาดเสรีที่แก้ไขตัวเอง
- การบริหารความขัดแย้ง
- หากมีข้อมูล “ซ้ำ” (เช่นบล็อกสองชุด) → ระบบรอเวลาตัดสินใจ ไม่ต้องมีผู้พิพากษา
- นี่คือการจัดการ “conflict resolution” แบบอัตโนมัติในระดับโครงสร้าง
- บทเรียนสำหรับนนท์
- เวลาออกแบบระบบ AI/ธุรกิจ → อย่าคิดว่า network ต้อง perfect → design for eventual consistency
- ใช้กฎง่าย ๆ (เช่น Longest Chain) เพื่อแก้ปัญหาความซับซ้อน
- นี่คือ mindset ของ “ระบบที่ทนทาน” (anti-fragile system) ที่ทำงานได้แม้ไม่สมบูรณ์
Leave a Reply