ตามธรรมเนียม ธุรกรรมแรกของบล็อกจะเป็นธุรกรรมพิเศษที่สร้าง “เหรียญใหม่” ให้กับผู้ที่สร้างบล็อก (block creator) สิ่งนี้คือ รางวัล ที่ทำให้โหนดอยากสนับสนุนเครือข่าย และยังเป็นวิธีนำเหรียญเข้าสู่ระบบโดยไม่ต้องมีหน่วยงานกลาง
การออกเหรียญใหม่แบบคงที่ คล้ายกับนักขุดทองที่ลงทุนทรัพยากรเพื่อเพิ่มทองเข้าสู่ระบบหมุนเวียน ที่นี่สิ่งที่ถูกใช้คือ เวลา CPU และพลังงานไฟฟ้า
นอกจากนี้แรงจูงใจยังมาจาก ค่าธรรมเนียมธุรกรรม หากค่าธุรกรรมรวมที่จ่ายน้อยกว่าค่าที่รับเข้า ส่วนต่างนั้นจะถูกนับเป็นค่าธรรมเนียมและเพิ่มเข้าไปในรางวัลของผู้สร้างบล็อก เมื่อถึงจุดที่มีเหรียญหมุนเวียนครบตามกำหนดแล้ว รางวัลจากเหรียญใหม่จะหายไป เหลือแต่ค่าธรรมเนียม → ระบบจึงไม่ก่อให้เกิดเงินเฟ้อ
แรงจูงใจนี้ยังช่วยให้โหนดเลือกที่จะ “ซื่อสัตย์” เพราะถ้ามีใครมีพลังประมวลผลมากกว่าคนอื่น เขาต้องเลือกระหว่าง
- ใช้มันเพื่อโกงระบบ (ขโมยธุรกรรมเก่า ๆ คืน) หรือ
- ใช้มันเพื่อสร้างเหรียญใหม่อย่างถูกต้อง
ทางเลือกที่สอง “ได้กำไรมากกว่า” และทำให้ระบบยังคงมีค่า
สรุป
- Block reward = สร้างแรงจูงใจ + แจกเหรียญแรกเข้าระบบ
- Transaction fee = กลไกที่ทำให้ระบบยังอยู่ได้ในระยะยาว (หลัง halving จน reward หมด)
- Economic alignment: ทำให้ “การซื่อสัตย์” มีกำไรมากกว่า “การโกง”
วิเคราะห์เชิงธุรกิจ/กลยุทธ์
- การออกแบบแรงจูงใจ (Incentive Design)
- Bitcoin ไม่ได้สร้างแค่เทคโนโลยี แต่ยังออกแบบ “เศรษฐศาสตร์ของเครือข่าย”
- ผู้เล่นทุกคน (miners) มีแรงจูงใจทางการเงินให้รักษาความถูกต้องของระบบ
- กลไกเศรษฐกิจแบบ Self-sustain
- ช่วงแรก: ระบบต้อง “แจก” (block reward) เพื่อดึงคนเข้ามา
- ช่วงหลัง: ระบบเปลี่ยนมาอยู่ได้ด้วย “ค่าธรรมเนียม” จากการใช้งานจริง
- โมเดลนี้คล้ายกับการสร้าง Startup → Scale → Self-sustain
- บทเรียนสำหรับนนท์
- ถ้าจะสร้างแพลตฟอร์ม AI หรือฟินเทค ต้องถามว่า:
- ผู้เล่น (user/partner) จะได้ “reward” อะไรเมื่อสนับสนุนระบบของเรา?
- เมื่อระบบโตขึ้น จะปรับจาก “incentive ที่ต้องแจก” ไปสู่ “incentive ที่เกิดเอง” ได้อย่างไร?
- การออกแบบ tokenomics / revenue sharing / affiliate reward อาจใช้หลักการเดียวกับ Bitcoin
- ถ้าจะสร้างแพลตฟอร์ม AI หรือฟินเทค ต้องถามว่า:
Leave a Reply