เมื่อธุรกรรมล่าสุดของเหรียญหนึ่งถูกฝังอยู่ใต้บล็อกจำนวนมากแล้ว ธุรกรรมก่อนหน้านั้นสามารถทิ้งได้เพื่อลดการใช้พื้นที่ดิสก์
เพื่อทำแบบนี้โดยไม่ทำให้ hash ของบล็อกเสีย เราใช้ Merkle Tree ซึ่งธุรกรรมทั้งหมดจะถูกแฮชในรูปแบบต้นไม้ โดย root ของต้นไม้เท่านั้นที่ถูกใส่ใน block header
เมื่อเวลาผ่านไป บล็อกเก่าสามารถถูกย่อได้ด้วยการ “ตัดกิ่ง” ของต้นไม้เก็บไว้เฉพาะ root hash และส่วนจำเป็น Interior hash ไม่จำเป็นต้องเก็บอีก
บล็อกหนึ่ง (header) ที่ไม่มีธุรกรรมมีขนาดประมาณ 80 ไบต์ ถ้าบล็อกถูกสร้างทุก ๆ 10 นาที เท่ากับ 80 * 6 * 24 * 365 ≈ 4.2MB ต่อปี ในปี 2008 คอมพิวเตอร์ทั่วไปมี RAM 2GB และ Moore’s Law คาดว่าขยาย 1.2GB ต่อปี ดังนั้นการเก็บ block header ทั้งหมดไม่ใช่ปัญหาแม้เก็บไว้ในหน่วยความจำ
สรุป
- ใช้ Merkle Tree เพื่อย่อบล็อกเก่าโดยไม่ทำลายความถูกต้อง
- เก็บ root hash + block header แทนที่จะเก็บธุรกรรมเต็มทั้งหมด
- ขนาดข้อมูลเติบโตช้า (เพียง ~4MB/ปี สำหรับ header) → ทำให้ระบบ scale ได้
วิเคราะห์เชิงธุรกิจ/กลยุทธ์
- การจัดการข้อมูลอย่างยั่งยืน
- Blockchain ไม่สามารถเติบโตแบบ “เก็บทุกอย่างเต็ม ๆ” ได้ตลอด → ต้องมีโครงสร้างข้อมูลที่ “ลดภาระ”
- Merkle Tree = data structure ที่ทำให้ “ย่อได้ แต่ยังพิสูจน์ได้”
- ปรัชญา: Proof over Storage
- สิ่งสำคัญคือ “หลักฐาน” (proof) ไม่ใช่ “รายละเอียดทุกบรรทัด”
- สำหรับธุรกิจ AI/Fintech → นี่คือการเลือกเก็บ “สิ่งที่พิสูจน์ได้” แทนที่จะเก็บ raw data ทุกอย่าง
- บทเรียนสำหรับนนท์
- เวลาสร้างแพลตฟอร์ม AI หรือ data-driven business:
- ต้องมี “Merkle Tree strategy” ของตัวเอง → เก็บ summary/proof แทน raw data
- ช่วยลดต้นทุน storage แต่ยังรักษา trust ได้
- สำหรับธุรกิจ real estate, ecommerce, finance → principle นี้ใช้ได้เหมือนกัน: ย่อข้อมูล → แต่ยังตรวจสอบย้อนกลับได้
- เวลาสร้างแพลตฟอร์ม AI หรือ data-driven business:
Leave a Reply